ข่าวภาพ สาวบริบาลน้ำใจงาม ขี่จยย. ไปส่ง2แม่ลูกไม่มีรถกลับบ้าน ระหว่างทางถูกเชือกว่าวรัดคอได้รับบาดเจ็บ วอนคนเล่นว่าวเล่นเสร็จให้เก็บ เพราะอาจจะเกิดอันตรายถึงชีวิตได้
สาวบริบาลน้ำใจงาม ขี่จยย. ไปส่ง2แม่ลูกไม่มีรถกลับบ้าน ระหว่างทางถูกเชือกว่าวรัดคอได้รับบาดเจ็บ วอนคนเล่นว่าวเล่นเสร็จให้เก็บ เพราะอาจจะเกิดอันตรายถึงชีวิตได้
จากกรณีที่มีผู้ใช้เพสบุ๊คส่วนตัว ชื่อ จอ จ้า ได้โพสภาพรอยแผลและข้อความ ในเพจบุ๊คชื่อ ที่นี่_ประจักษ์ศิลปาคม ว่า“มีเรื่องอยากร้องเรียนจ้า เนื่องจากหนูมาจากอุ่มจานสิไปบ้านโพนทอง ขับมาดีๆพอขึ้นสะพานกะมีเชือกคล้ายเชือกไนลอนลัดคอ ด้วยความที่บ่ได้ขับเร็วกะใช้มือดึงออก รถกะเลยบ่ล้ม (ขับมาด้วยความเร็วประมาณ 40k/h )อยากให้ผู้ใหญ่บ้านหรือผู้ที่เกี่ยวเข้าไปเบิ่งให้แน่จ้า ว่าเชือกอิหยังเพราะว่าขับกลับมามันบ่มีแล้ว หึแม้นเด็กน้อยขี้ดื้อกะบ่จัก เข้าไปเบิ่งแน่เด้อจ้า เพื่อผู้อื่นเพิ่นมาดึกๆเร็วๆรถอาจเสียหลักล้มได้ เหตุเกิดประมาณ วันที่ 26 ต.ค.65 เวลา 19:00 น. ที่บริเวณสะพานบ้านโพนทองจ้า”
ต่อมาในเวลา 17.30 น.วันที่ 27 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวได้เดินทางที่บริเวณ สะพานบ้านโพนทอง หมู่ที่ 5 ต.อุ่นจาน อ.ประจักษ์ศิลปาคม จ.อุดธานี พบกับ น.ส.ปนัดดา พยัฆกาฬ อายุ 26ปี ราษฎรชาวต.นาม่วง อ.ประจักษ์ศิลปาคม จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้รับบาดเจ็บจากการที่ถูกเชือกเกี่ยวคอจนได้รับบาดเจ็บ ได้พาไปตรวจสอบจุดที่ถูกเชือกเกี่ยวคอ ซึ่งเป็นบริเวณคอสะพานห้วยวังหิน โดยมีผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผุ้ใหญ่บ้านและชาวบ้าน ที่ทราบข่าวได้มาตรวจสอบที่เกิดเหตุ
น.ส.ปนัดดา กล่าวว่าตนกำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนบริบาลแห่งหนึ่งในตัว จ.อุดรธานี เมื่อวันที่26 ต.ค.ที่ผ่านมา ตนได้ขับขี่รถจยย.ไปฝากจอดไว้ที่บ้านโนนสมบูรณ์ ต.ห้วยสามพาด เพื่อไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล
ศรีนครินท์ จ.ขอนแก่น จากนั้นขากลับบ้านตนได้นั่งรถตู้มาลงที่เดิม แต่มี สองแม่ลูก ได้ลงรถที่เดียวกับตน แต่ก็เป็นช่วงเย็นแล้วจึงไม่มีรถโดยสาร หรือรถรับจ้างที่จะเข้าหมู่บ้าน จากการสอบถามพบว่าพี่ผู้หญิงจะไปบ้านโพนทอง อ.ประจักษ์ศิลปาคม ซึ่งห่างจากบ้านของตนไปอีกประมาณ 10 กิโลเมตร ตนเห็นว่าจะมืดค่ำแล้ว จึงอาสาที่จะขี่รถจยย.ไปส่งให้
น.ส.ปนัดดาฯ กล่าวต่อไปว่า เมื่อขับขี่รถจยย.มาถึงบริเวณคอสะพานก่อนถึงหมู่บ้านโพนทอง ตนมีความรู้สึกว่ามีเชือกอะไรมารัดที่คอ จึงได้ใช้มือจับแล้วดึงขึ้นให้พ้นหัว แต่จังหวะนั้นเชือกได้บาดนิ้วมือและใบหูด้านขาว จึงรีบดึงเชือกให้พ้นตัว แต่เชือกไม่ได้ไปถูกสองแม่ลูกที่นั่งมาด้วย และโชคดีที่รถจยย.ไม่ล้ม ตนจึงขี่รถจยย.ไปส่งสองแม่ลูกที่กลางหมู่บ้าน แล้วได้ขี่รถกับมาดูว่าเป็นเชือกอะไร แต่ก็ไม่เห็นเชือกแล้ว อีกทั้งบริเวณสะพานก็เปลี่ยวและมืด โดยตนคิดว่าจะเป็นเชือกธงทิว ที่ทางวัดผูกประดับงานกฐินซึ่งตนก็รู้สึกแสบที่คอ และนิ้วมือเพราะถูกเชือกบาด ตนกลัวจึงรีบขี่รถกลับบ้าน
น.ส.ปนัดดา ฯ กล่าวต่อไปว่าเมื่อถึงบ้านตนก็มาบอกแม่ และทำการปฐมพยาบาล จากนั้นแม่ได้โทรศัพท์ไปหาเพื่อนที่เป็นคนในหมู่บ้านโพนทอง และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง ซึ่งเพื่อนของแม่จึงได้ไปบอกผู้ใหญ่บ้าน พร้อมกับตำรวจสายตรวจ ได้ออกมาตรวจสอบ พบว่าเป็นเชือกว่าว ที่มาตกแถวสะพาน พอช่วงเช้าวันที่ 27 ต.ค. ผู้ใหญ่บ้านก็ได้เข้ามาเยี่ยมและสอบถามอาการพร้อมกับบอกตนว่าเชือก ดังกล่าวเป็นเชือกว่าว ซึ่งตนก็ไม่ได้ติดใจอะไร ที่ตนโพสรูปและข้อความลงในเพสบุ๊คก็อยากจะให้มีใครไปตรวจสอบ เพราะอาจจะเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนขึ้นมาอีกได้
“ตนอยากจะฝากไปถึงคนที่เล่นว่าว ถ้าจะเล่นเมื่อเล่นเสร็จแล้วควรจะเก็บให้เรียบร้อยเป็นที่เป็นทาง ไม่ต้องมาผูกเอาไว้หรือเล่นในที่โร่งแจ้ง ไม่ใช้ริมถนน เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ และถ้าเป็นคนแก่ที่มองไม่เห็นก็อาจจะเป็นอุบัติเหตุรายแรงกว่านี้ได้”
นายจำรูญ จันทรเสนา อายุ53ปี ผู้ใหญ่บ้านม.5 บ้านโพนทอง ต.อุ่มจาน กล่าวว่า ช่วงเวลาประมาณ 19.00 น.ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้แจ้งเรื่องคนถูกเชือกบาดคอที่บริเวณบริเวณคอสะพานห้วยวังหิน ตนจึงได้ออกมาตรวจสอบ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจสภ.ประจักษ์ศิลปาคม ได้เดินตรวจสอบตามจุดต่างๆจนไปพบว่ามีเชือกอยู่ตรงต้นไม้หน้าวัด ปรากฏว่าเป็นเชือกว่าว จึงได้เดินตามเชือกไปจนพบกับตัวว่าว ติดอยู่บนต้นจามจุรี พอตอนเช้าตนได้ไปสอบถามคนในหมู่บ้าน จึงทราบว่ามีคนมาเล่นว่าวที่บริเวณใกล้กับสะพาน ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่2 แล้วที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ โดยครั้งแรกช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เวลา 05.00 น.มีชาวบ้านจะไปฟาร์มหมูขี่รถจยย.ผ่านมาถนนเส้นนี้ก็ถูกสายว่าว ลัดคอ ได้รับบาดเจ็บมากว่าครั้งนี้เพราะเป็นเชือกเส้นใหญ่ และครั้งนี้ก็มาเกิดซ้ำอีก เป็นเชือกเส้นเล็ก ซึ่งตนคิดว่าจะเป็นคนเอาเชือกมาผูกดักรถแต่เมื่อตรวจสอบดูแล้วไม่ใช่จึงได้ประกาศเสียงตามสายในเรื่องของการเล่นว่าว
“ตนก็อยากฝากถึงคนที่เล่นว่าว ว่าถ้าเล่นเสร็จแล้วก็ให้เก็บ วันรุ่งขึ้นค่อยมาเล่นใหม่ ไม่ควรผูกเอาไว้ เพราะบางคนที่นำว่าว ดุ้ยดุ่ย หรือ ว่าวธนู มาเล่นเมื่อขึ้นบนฟ้าแล้วจะมีเสียง ซึ่งบางคนก็ชอบ บางคนก็ไม่ชอบ และหากว่าช่วงจังหวะนั้นลมไม่มี ว่าวก็จะตกลง ถ้าตกลงในที่นาก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าตกลงขวางเส้นทางบนก็จะเกิดอันตรายกับผู้สัญจรใช้รถใช้ถนนได้ ตนจึงได้ประกาศแจ้งทางลูกบ้านรับทราบแล้ว”