ชาวนาในพื้นที่ตำบลชีลอง อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ ยืนมองพื้นดินที่แตกระแหงต้นข้าวที่เพิ่งเพาะปลูกเอาไว้ต้องเหี่ยวแห้งยืนต้นตาย หลังประสบกับฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานานโดยในการทำนาปี ต้องอาศัยแหล่งน้ำจากฝนเป็นหลักซึ่งในพื้นที่นี้เกษตรกรจะทำนาได้แค่ปีละ 1 ครั้งเพราะแหล่งน้ำตามธรรมชาติไม่เพียงพอ ส่งผลให้นาข้าวของชาวบ้านในพื้นที่และใกล้เคียงซึ่งมีพื้นทำนากว่าร้อยไร่ เริ่มแห้งเหี่ยวเฉาทยอยยืนต้นตายด้วยการขาดน้ำ เป็นเวลานานจะส่งผลกระทบต่อต้นข้าวที่เกษตรกรปลูกเอาไว้ที่อายุได้ 1 เดือนกว่าๆ ได้รับความเสียหายเหี่ยวแห้งตายจำนวนมาก
ด้านนายทองสา ถิ่นชีลอง อายุ 65ปี ชาวนาในหมู่บ้านท่าขามแป ตำบลชีลอง อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิร เล่าว่า ตนได้ลงทุนทำนาเอาไว้ 15ไร่ เพื่อจะเอาไว้ขายและสีกินเอง โดยได้ลงทุนซื้อน้ำมันวันล่ะกว่า400 บาทเพื่อนำมาสูบน้ำใส่นาข้าวที่เริมแห้งตาย บางแปลงก็ต้องไถปลูกใหม่เป็นรอบที่2รอบ ปลูกข้าว15ไร่เสยหายไปแล้วกว่า10ไร่ เหลืออยู่ประมาณ 5ไร่ต้องเร่งสูบน้ำใส่เพื่อไม่ให้ข้าตาย เพราะมาประสบปัญหาภัยแล้งและปัญหาฝนที่ทิ้งช่วงเป็นเวลานานจนทำให้ต้นข้าวที่เพิ่งเพาะปลูกได้เพียง 1 เดือนกว่าๆต้องยืนต้นแห้งเหี่ยวตาย เพราะไม่มีแหล่งน้ำตามธรรมชาติมีน้อยชาวบ้านในพื้นที่ก็ประสบปัญหาเช่นกันทำให้เร่งน้ำที่มีไม่เพียงพอเพราะต่างคนต่างก็ต้องการน้ำเช่นกันคงได้แค่ยืนมองต้นข้าวที่กำลังยืนต้นตาย
สำหรับพื้นที่ ตำบลชีลอง อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ เป็นแหล่งปลูกข้าวที่มากพอสมควร แต่ในปีนี้พื้นที่ได้ประสบปัญหาภัยแล้งและฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน จนทำให้ต้นที่ชาวนาลงทุนปลูกไว้ยืนต้นแห้งเหี่ยวตายเสียหายเป็นจำนวนมาก
ภาพ/ข่าว วิรัตน์ ดวงแก้ว จ.ชัยภูมิ