มุกดาหาร – กลุ่มวิสาหกิจชุมชนข้าวอินทรีย์ ผลิตข้าวชั้นดีมีคุณภาพส่ง รพ. ร้านอาหาร


กลุ่มวิสาหกิจชุมชนข้าวอินทรีย์ บ้านท่าไค้-นาแล ผลิตข้าวชั้นดีมีคุณภาพและปลอดภัยส่งโรงพยาบาล ร้านอาหาร และตลาดทั่วไป ส่งประมาณปีละประมาณ 300 ตัน นอกจากนี้ทางกลุ่มยังได้รับรองมาตรฐาน Organic Thailand
เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 64 นายพรรณนา ราชิวงค์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนข้าวอินทรีย์ บ้านท่าไค้-นาแล ตำบลนาสีนวน อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร เปิดเผยว่า สำหรับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนข้าวอินทรีย์ บ้านท่าไค้-นาแล ได้รวมกลุ่มกันตั้งแต่ปี 2556 โดยได้รวบรวมกลุ่มเกษตรกรในชุมชนที่มีแนวคิดว่าจะผลิตข้าวที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และปลอดสารพิษ ถ้าจะผลิตข้าวแบบเดิมคงจะไม่ได้ เพราะความต้องการของผู้บริโภคต่อไปข้างหน้า ต้องบริโภคข้าวที่ปลอดภัยและมีคุณภาพ ไม่ต้องกังวลเรื่องสารเคมีตกค้างในเมล็ดข้าว โดยปี 2556 รวมกลุ่มกันได้ 40 คน หลังจากนั้นทางพัฒนาที่ดินจังหวัดมุกดาหาร ได้เข้ามาให้คำแนะนำเรื่องดินให้ดีขึ้น และเพิ่มผลผลิตในการปลูกข้าวอินทรีย์ได้สูงขึ้น ต่อมาปี 2560 ได้เข้าโครงการเกษตรอินทรีย์ข้าง 1 ล้านไร่ของรัฐบาล ซึ่งเป็นโครงการของรัฐบาลให้เงินอุดหนุนในการทำนาเกษตรอินทรีย์ไร่ละ 2,000 บาท ไม่เกิน 15 ไร่ เข้าโครงการนี้สมาชิกปีแรก 70 คน พื้นที่ 690 ไร่ ปีที่ 2 มีการคัดกรองสมาชิกจาก75 คน เหลือ 73 คน พื้นที่เหลือ 650 ไร่ ปี2563 ได้รับรองมาตรฐาน Organic Thailand และได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลด้วย ปี่ที่ 2 ได้ไร่ละ 3,000 บาท ปี่ที่ 3 ได้ไร่ละ 4,000 บาท ไม่เกิน 15 ไร่
นายพรรณนา ราชิวงค์ เปิดเผยอีกว่า ในกลุ่มของเรามีความคิดว่า ถ้าขายข้าวให้กับโรงสีก็จะเสียเปรียบ ข้าวอินทรีย์ไปขายทางดรงสีคิดราคาข้าวปกติ มูลค่าไม่เพิ่มขึ้น ได้รวบรวมผลผลิต การรวบรวมผลผลิตต้องมีเงินทุน ได้มีการระดมหุ้นกัน อีกส่วนได้ทำโครงการขอเงินสนับสนุนจากกองทุนหมู่บ้านได้มา 300,000 บาท รวมแล้วประมาณ 500,000 บาท มาซื้อผลผลิตจากสมาชิก ให้ราคาสูงกว่าตลาดประมาณ 2-4 บาท ถ้าดรงสีซื้อ 10 บาท ผมจะซื้อ 12 บาท เพื่อเป็นแรงจูงใจให้กับสมาชิกเกษตรอินทรีย์ ส่วนเรื่องการตลาดแปรรูปเป็นข้าวสาร ข้าวกล้อง และข้างฮางงอก ในปี 2563-2564 ประมูลประกวดราคาระบบ e-bibding ของโรงพยาบาลมุกดาหาร ได้ชนะการประมูลก็ได้ส่งข้าวให้กับโรงพยาบาล มีข้างกล้อง 20 ตัน ข้าวขาว 10 ตัน รวมแล้ว 30 ตัน / ปี ถ้าเป็นข้าวเปลือก 60 ตัน สามารถที่จะช่วยสมาชิกขายข้าวเปลือกไห้กับกลุ่มได้ราคาที่ดีขึ้น
นอกจากโรงพยาบาลแล้ว ก็มีส่งโรงแรม ร้านอาหาร และส่งขายทั่วไป ปีหนึ่งประมาณ 300 ตัน เป็นผลผลิตของกลุ่ม แต่เราไม่สามารถซื้อข้าวจากสมาชิกได้ทั้งหมด เพราะว่ามีเงินทุนจำกัด ถ้าจะซื้อทั้งหมดเป็นเงินหลายล้านบาท แต่มีเงินทุน 500,000 บาท โดยซื้อมาขายไปก็พอหมุนเวียนได้ ปีหนึ่งก็ประมาณ 60-70 ตัน ส่วนที่เหลือให้สมาชิกขายส่งโรงสี และในปีนี้วางแผนจะสามารถซื้อข้าวจากสมาชิกได้ประมาณ 100-200 ตัน โดยได้ทำโครงการไปขอเงินกู้ ธ.ก.ส. โดยโครงการล้านละ 100 ทาง ธ.ก.ส. ก็ได้อนุมัติแล้วจำนวน 2,000,000 บาท ก็จะนำเงินกู้ไปซื้อข้าวสมาชิก เพราะว่าการตลาดถ้าไม่มีข้าวในสต๊อคไว้ เวลาไปเสนอขายข้าว ถ้าเกิดว่าลูกค้าสั่งข้าว เราไม่มีข้าว เราก็จะขายข้าวให้ลูกค้าไม่ได้ ฉะนั้นปัญหาหนึ่งคือ ต้องมีข้าวในสต๊อคไว้ตลอดทั้งปี 60-70 ตัน อนาคตข้างหน้ามีแผนจะเพิ่มพื้นที่ปลูกข้าวอินทรีย์ ไปจดทะเบียนเป็นนาแปลงใหญ่ มีพื้นที่ประมาณ 1,022 ไร่ สมาชิก 99 ราย รวมสมาชิกข้าวอินทรีย์มารวมกับสมาชิกนาแปลงใหญ่
ส่วนปัญหาอีกอย่างคือปุ๋ยไม่เพียงพอ ทางกลุ่มก็เลยทำโครงการของนาแปลงใหญ่ได้เงินมา 3,000,000 บาท ได้นำมาซื้อเครื่องผลิตปุ๋ยอัดเม็ดอินทรีย์ จะเริ่มดำเนินการเร็วนี้ สำหรับส่งให้สมาชิกไปใช้ และเครือข่ายมีความต้องการก็ผลิตให้ และทางกลุ่มก็ได้ซื้อรถไถนา 2 คัน เพื่อมาบริการสมาชิกเพื่อลดต้นทุนในการทำนาลงได้ ส่วนช่องทางการขายได้หารือกับทาง กอ.รมน. หาช่องทางการขายข้าวอินทรีย์ในต่างจังหวัด มีเครือข่ายทั้ง 77 จังหวัด กำลังหารืออาจจะมีการเอาข้างไปแลกเปลี่ยนกัลป์ผลไม้จากภาคอื่น ๆ เป็นอีกช่องทางหนึ่งขายข้าวอินทรีย์ ทางราชการก็ให้ความสำคัญ ถ้าสนใจข้าวอินทรีย์ สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ 086-8627369 ได้ตลอดเวลา หรือแวะมาเยี่ยมชมได้ที่กลุ่มเกษตรอินทรีย์ บ้านท่าไค้-นาแล ตำบลนาสีนวน อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร
สำหรับปัญหาของกลุ่มเกษตรอินทรีย์ เกษตรกรมีความสามารถ มีศักยภาพ มีพื้นที่อยู่แล้ว แต่ยังมีปัญหาที่แก้ไม่ได้คือ น้ำ เพื่อทำการเกษตร กลุ่มข้าวอินทรีย์มีพื้นที่ติดน้ำโขง แต่ไม่สามารถที่จะดึงแม่น้ำโขงมาใช้ได้ น้ำที่จะมาทำนาไม่เพียงพอ เกิดปีไหนฝนทิ้งช่วงความเสียหายจะเพิ่มขึ้นทันที ผลผลิตที่ได้ไม่ถึงครึ่ง เรื่องน้ำสำคัญมาก อยากให้ทางรัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาว่าจะทำอย่างไรที่จะสูบน้ำจากแม่น้ำไขงมาใช้การเกษตรได้ ถ้าแก้ปัญหาน้ำได้ทำให้เกษตรกรมีความมั่นคง มีอาชีพ มีรายได้ สามารถที่จะบริหารจัดการได้ นี่คืออีกปัญหาหนึ่งของเกษตรกรกลุ่มอินทรีย์
ส่วนเงินทุนอยากให้ทางรัฐบาล มองเห็นกลุ่มเข้มแข็ง กลุ่มชัดเจน กลุ่มมีแผนงาน มีดครงการมีแนวทางจะแก้ปัญหา น่าจะส่งเสริมเรื่องเงินทุน เป็นเรื่องที่สำคัญ อยากให้หน่วยงานรัฐบาลเข้ามาส่งเสริม โดยเงื่อนไขอย่าให้ยุ่งยากมาก ถ้าเงื่อนไขยุ่งยากก็ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ บางทีเงื่อนไขก็สำคัญ
ทั้งนี้จุดเด่นของกลุ่มนาแปลงใหญ่ข้าวอินทรีย์ ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์บ้านท่าไค้-นาแล ตำบลนาสีนวน อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร คือกลุ่มมีความเข้มแข็ง มีแนวความคิดไปในทิศทางเดียวกันที่จะผลิตข้าวอินทรีย์ ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง เกษตรกรสมาชิกมีส่วนร่วมในทุกกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นการประชุม กลุ่มปรึกษาหารือ แก้ไขปัญหาร่วมกัน มีการวางแผนการผลิตข้าวร่วมกันอย่างชัดเจน พร้อมทั้งลงพื้นที่กำจัดวัชพืชในแปลงนาข้าวอินทรีย์ นอกจากนี้ทางกลุ่มฯยังได้คำนึงถึงระบบนิเวศน์ในพื้นที่ ความหลากหลายทางชีวภาพ ให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง โดยการรวมกลุ่มผลิตปุ๋ยอินทรีย์ใช้เองตามสูตรของกรมพัฒนาที่ดิน พร้อมทั้งร่วมรณรงค์งดใช้สารเคมีในพื้นที่การเกษตร และที่สำคัญที่สุดกลุ่มนาแปลงใหญ่ข้าว ยังคงคำนึงถึงสุขภาพของตัวผู้ผลิตและผู้บริโภคเป็นสิ่งสำคัญ และทางกลุ่มยังได้รับรองมาตรฐาน Organic Thailand อีกด้วย
อนุศักดิ์ – เสาวภา แสนวิเศษ // มุกดาหาร

เกษตร

Related posts

404 Not Found
404
Sorry, the page you visited does not exist.
It may be that the access link is wrong or the file does not exist.