อุดรธานี – “หลวงปู่สุข” พ่อพระหมอ อโหสิกรรมนานแล้ว ‘ใครทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว’ หนีไม่พ้นกรรมดอก

 

วันที่ 5 สิงหาคม 2564 ที่วัดป่าตอสีเสียด บ.โนนเดื่อ ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดี พระอาจารย์บัณฑิต สงวนแก้ว หรือ นพ.บัณฑิต สงวนแก้ว หรือ “พระหมอ” อายุ 48 ปี อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าตอสีเสียด ถูกคนร้ายดักยิงมรณภาพ โดยให้ประหารชีวิตนายบรรเจิด ฉัตรไพฑูรย์ หรือ “เสี่ยบั๊ก” นักธุรกิจมีชื่อเสียงของอุดรธานี ผู้จ้างวาน , ให้ประหารชีวิต ด.ต.ชาญชัย สร้อยสังวาลย์ (อดีต) ผบ.หมู่งานสืบสวน สภ.เมืองอุดรธานี , นายปัญจ๋า หรือโบ้ ชารีแสน ทีมสังหาร รับสารภาพให้การเป็นประโยชน์ลดเหลือจำคุกตลอดชีวิต และยกฟ้องนายบุญนาค หงษาคำ อายุ 48 ปี เพื่อน ด.ต.ชาญชัยฯ

บรรยากาศทั่วไปเงียบสงบ ลานด้านซ้ายประตูวัด “ จิตกาธาน” ที่ใช้ในการประกอบพิธีพระราทานเชิงศพ พระอาจารย์บัณฑิต สงวนแก้ว หรือพระหมอ ยังคงถูกเก็บรักษาไว้ ถูกล้อมด้วยรั้วสแตนเลส 2 ชั้น สร้างทางเดินไว้ชั้นนอก และชั้นใจ ตกแต่งด้วยกระถางบัว สนามหญ้า และรั้วต้นเข็ม มีการตกแต่งดูแลรักษารัศมีราว 20 เมตร นอกนั้นมีหญ้าขึ้นสูง ขณะบริเวณประตูหน้าวัด จุดพักทำบุญตักบาตร จัดเรียงโต๊ะเก้าอี้ และทำความสะอาดเรียบร้อย มีเพียงประตูรั้วถูกเปิดออก เพราะมีช่างเข้ามาทำงานภายใน

จากประตูหน้าวัดเดินเข้าไปราว 100 เมตร จึงจะถึงศาลาวัดขนาดไม้ใหญ่นัก เป็นศาลาชั้นเดียวตั้งอยู่ติดพื้น มีศาลาของญาติโยมอยู่ห่างๆ ซึ่งทั้งหมอสร้างขึ้นตั้งแต่ “พระหมอ” ยังมีชีวิตอยู่ ในศาลาวัดเป็นที่ประดิษฐานพระประธาน ภาพของพ่อแม่ครูอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน ตู้หนังสือ และตำราต่าง ๆ โดยมีแท่นบูชา “พระอาจารย์บัณฑิต สงวนแก้ว” เพิ่มเติม ซึ่งด้านล่างเป็นภาพของ “พระหมอ” ด้วยบนเป็นเจดีย์แก้ว บรรจุอัฐิพระหมอ และมีครอบแก้วโครงไม้ ครอบเจดีย์แก้วอีกครั้ง

พบกับหลวงปู่สุข สุจิโต อายุ 81 ปี พ่อของพระอาจารย์บัณฑิต สงวนแก้ว ที่ยังคงพักอยู่ชั้น 2 ของกุฎิหลังเดิม ที่ให้จำวัดมาตั้งแต่ก่อเกิดเรื่อง ด้วยอายุมากขึ้น มีอาการปวดหลัง และมือสั่น เดินขึ้นลงกุฎิไม่สะดวก ญาติโยมกำลังสร้างกุฎิหลังเตี้ย อยู่ขนานกับกุฎิหลังเดิม โดยหลวงปู่สุขฯ บอกว่า “ยังมีกำลังเดินขึ้นลงกุฎิได้อยู่ แต่ญาติโยมมาขออนุญาตสร้างถวาย” ขณะที่ “แม่ตุ๋ย” นางรุวณี สงวนแก้ว” แม่ของพระหมอ ก็มาปฏิบัติธรรมกับญาติโยมอยู่ท้ายวัด

หลวงปู่สุข สุจิโต บอกว่า เป็นชาว จ.สุรินทร์ เรียนจบ ม.6 ก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปเรียนต่อพาณิชย์ ตอนนั้นก็ไปอาศัยอยู่ที่วัด จบแล้วไปทำงานและเรียนนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เคยไปสอบผู้พิพากษา แต่ก็ไม่ทันเพราะทำงานไปด้วย ส่วน “พระหมอ” เรียนเก่งสอบจบมัธยม รร.สวนกุหลาบ สอบได้ที่ 1 มาเรียนต่อแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกือบได้เหรียญทอง มารับราชการที่จ.อุดรธานี จนสนใจทางธรรมก็บวชเมื่อปี 38 ไปอยู่กับหลวงปู่ลี วัดถ้ำผาแดง หลวงปู่สุขฯมาบวชปี 48 ก็อยู่กับหลวงปู่ลี ได้ 3 พรรษา แล้วขอหลวงปู่ลีมาอยู่วัดป่าตอสีเสียด

“ พระหมอรู้ล่วงหน้ามีภัยถึงชีวิต เคยสั่งเสียลูกศิษย์แต่คิดไม่ถึง อาทิ จุดที่ตั้งจิตกาธานทำไมไม่ปลูกต้นไม้ พอวันเกิดเหตุก็ให้ลูกศิษย์กลับบ้าน ออกไปบิณฑบาตก็เอาเจ้าสิงห์ หรือสุนัข ขังกรงไว้ ทั้งที่ปกติเจ้าสิงห์จะต้องไปด้วย ลูกศิษย์วัด 2 คนที่ไปด้วยก็ให้เดินไปก่อน เมื่อพระหมอมรณภาพ วัดก็ดำเนินไปตามปกติ มีพระมาอยู่บางปี 5 รูป บางปี 2 รูป ทุกปีวันที่ 1 มี.ค. ตรงกับวันมรณภาพ เพื่อนพระหมอจากสวนกุลาบ-แพทย์จุฬา และลูกศิษย์ นัดกันมาทำบุญที่นี่ ทุกอย่างพระหมอสร้างไว้หมดแล้ว หลวงปู่มาสร้างแค่กำแพง พื้นที่ปฏิบัติธรรมโยมผู้หญิงเท่านั้น ”

หลวงปู่สุข สุจิโต บอกต่อว่า หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น หลวงปู่ก็จำพรรษาที่นี่ไม่ได้ออกไปไหนเลย โยมแม่พระหมอก็มาปฏิบัติธรรมที่นี่ เรื่องคดีความก็ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย กรรมใครกรรมมัน คนที่ยิงก็มาขอขมาหลวงปู่ฯ หลวงปู่ก็อโหสิกันไปแล้ว และหากคนที่กระทำที่มีเวรกรรมต่อกันอยู่ เข้ามาขอขมาหลวงปู่ก็จะเมตตาอโหสิกรรมให้ ซึ่งก็ไม่เคยมีการติดต่อมา ไม่เคยเห็นหน้ากัน หลวงปู่เองก็ไม่ได้ออกไปไหน

“ หลวงปู่เองก็ไม่ติดใจ ไม่เคยอาฆาต ถือว่าเป็นกรรมใครกรรมมัน เรื่องการอ่านคำพิพากษาวานนี้ หลวงปู่ก็ไม่รู้เรื่องเลย มีแต่ลูกสาวคนโตไปฟังคำพิพากษาตอนเช้า แล้วกลับมาเล่าให้ฟังทีหลังตอนบ่าย เรื่องนี้ไม่ได้คิดอะไรอีกแล้ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หนีไม่พ้นกรรมหรอก ถึงญาติพี่น้องเขามาก็ถือว่าเป็นเพื่อน ไม่เคยมีความโกรธแค้นอะไร จิตใจเราว่างแล้ว ขออโหสิกรรมทุกคน ”