ผู้การอุดร ทำแผนหนุ่มคลั่งเสพยาหลอน ปั่นจักรยานข้ามจังหวัด มาชิงทรัพย์ร้านสะดวกซื้อที่แหล่งมรดกโลกบ้านเชียง แต่ได้โทรศัพท์มือถือไปเครื่องเดียว หลังถูกตำรวจตามจับถึงบ้านที่สกลนคร อ้างหาเงินซื้อยาบ้ามาเสพ
เม่อเวลา10.00นวันที่ 20 เมษายน 64 พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี ผบก.ภ.จว.อุดรธานี พร้อมตำรวจ กก.สส.ภ.จว.อุดรธานี และ ตำรวจ สภ.หนองหาน ได้คุมตัว นายจักรกฤษณ์ หรือ ต้า ชัยภิบาล อายุ 28 ปี อยู่ที่ 133 ม.14 บ้านกุดจิกสามัคคี ต.บงใต้ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ผู้ต้องหาในคดี “ชิงทรัพย์เวลากลางคืน” มาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ที่ร้านสะดวกซื้อ สาขาบ้านเชียง ต.บ้านเชียง อ.หนองหาน โดยทางร้านสะดวกซื้อไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปถ่ายภาพภายในร้าน
โดยเหตุเกิดเมื่อเวลา 02.40 น. วันที่ 16 เมษายน ที่ผ่านมา นายจักรกฤษณ์ฯ ได้เข้ามาก่อเหตชิงทรัพย์ ที่ร้านสะดวกซื้อแห่งนี้ เพื่อหวังเข้าไปชิงเอาทรัพย์เงินสด แต่ขณะก่อเหตุพนักงานภายในร้านตกใจวิ่งเข้าหลังร้าน ทำให้เปิดเคาน์เตอร์เก็บเงินไม่ได้ จากนั้น นายจักรกฤษณ์ฯ ได้กระโดดข้ามเคาน์เตอร์ คว้าได้โทรศัพท์มือถือยี่ห้อหัวเหว่ย ราคาประมาณ 6,000 บาท ซึ่งเป็นโทรศัพท์ของทางร้าน แล้วขี่รถจักรยาน ที่จอดไว้ในวัดสระแก้ว ห่างจากร้านสะดวกซื้อประมาณ 200 เมตร แล้วขี่จักรยานหลบหนีไป ซึ่งทางตำรวจติดตามจับตัวได้ที่บ้านพัก อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร พร้อมของกลาง เสื้อผ้าที่สวมใส่ในวันก่อเหตุ กระเป๋าสะพาย หมวกไอ้โม่งแบบปิดบังใบหน้ามิดชิด และอาวุธปืนเด็กเล่นสีดำ 1 กระบอก
นายจักรกฤษณ์ฯ ให้การรับสารภาพว่า ก่อนเกิดเหตุเสพยาบ้ามา 4 เม็ด แล้วปั่นจักรยานมาจากบ้าน อ.สว่างแดนดิน ระนะทางกว่า 30 กม. เพื่อมาชิงทรัพย์ ร้านสะดวกซื้อหวังหาเงินซื้อยาบ้ามาเสพเพิ่ม
พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี ผบก.ภ.จว.อุดรธานี เปิดเผยว่า ทางตำรวจ สภ.หนองหาน รับแจ้ง มีเหตุชิงทรัพย์ในร้านสะดวกซื้อในตำบลบ้านเชียง ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลก เมื่อเวลาประมาณตีสาม ของวันที่ 16 เมษายน หลังรับรายงานตนจึงสั่งการกำชับเร่งจับกุมตัวคนร้าย ช่วงแรกยอมรับว่ายาก เพราะผู้ต้องหามีพฤติการปิดบังอำพราง ประกอบกับผู้เสียหายเห็นหน้าไม่ชัด ซึ่งต่อมาทางตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐาน สืบทราบว่าผู้ต้องหารายนี้ได้เข้ามาก่อเหตุจริง โดยปั่นจักรยานมาไกลระยะทางเกือบ 30 กม.จาก อ.สว่างแดน ดินมาถึงบ้านเชียง ที่เหลือเชื่อมาก หลังจับกุมได้ตำรวจได้นำตัวมาสอบสวน และให้การรับสารภาพ โดยในวันก่อเหตุผู้ต้องหามีการเสพยาเสพติดมาด้วย จึงนำตัวแจ้งข้อกล่าวหา และนำชี้จุดเกิดเหตุ
ที่น่าสนใจคือ ที่บ้านเชียงแห่งนี้เป็นมรดกโลก ของประเทศไทย จะมีผู้คนสัญจรไปมาทั้งคนในประเทศและต่างประเทศ แต่จากสถานการณ์โควิด คนจึงมีไม่มากนัก อย่างไรก็ตามในการสร้างความเชื่อมั่นศรัทธา หลังเกิดเหตุตำรวจสามารถสืบสวนจับกุมคนร้ายได้ จากการสอบสวนทราบว่า ผู้ต้องหาได้โทรศัพท์มือถือไปเพียงเครื่องเดียว ทั้งที่ผู้ต้องหามีเจตนาจะมาชิงทรัพย์สินที่เป็นเงินสด แต่พนักงานได้เห็นพฤติกรรมก่อน เพราะว่าคนร้ายมีการปิดบังอำพรางหน้าตา จึงวิ่งไปหลบหลังร้าน คนร้ายจึงไม่สามารถนำอย่างอื่นไปได้ แต่เห็นว่ามีโทรศัพท์วางอยู่จึงได้ขโมยไป ส่วนปืนที่ใช้ทราบว่าเป็นปืนเด็กเล่น ที่เอาของหลานมา โดยเหตุการณ์ณ์นี้ก็เป็นปัญหาของสังคมอีกอย่างนึง ซึ่งสภาพเศรษฐกิจ ประกอบกับผู้ต้องหามีประวัติเคยถูกจับกุมในข้อหาขับเสพ ซึ่งพึ่งพ้นโทษออกมา แล้วมาก่อเหตุซ้ำอีก