ตำรวจ สภ.กกตูม นำ 6 พยานเข้าเครื่องจับเท็จ ย้ำคำเดิมบางคนเห็นลุงพลมาแถวบ้านช่วงชมพู่ได้หายตัวไป ส่วนสรรพากรพื้นที่มุกดาหาร แจงบุคคลใดมีรายได้ต้องเสียภาษี ถ้าไม่เสียภาษีจะมีความผิดทางอาญาและทางแพ่ง
เมื่อวันที่ 18 ม.ค.64 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าคดีน้องชมพู่ พนักงานสอบสวน สภ.กกตูม เดินทางมารับพยานในคดี จำนวนทั้งสิ้น 6 คน โดยจะประกอบไปด้วย 1.พระอาจารย์บุญมา เจ้าอาวาสวัดภูผาเเอก , 2.ครูบารัตน์ วัดป่าภูกะโล้น 3.พ่อเเบม ชาวบ้านกกกอก, 4.นางดอน มะลิรส พยานที่เห็นลุงพลบนวัดภูผาเเอก, 5.ด.ช.ก๊วยเจ๋ง ลูกชายน้าเสริม เเละ6. นางส้มโอ (นามสมมติ) ชาวบ้านกกตูม ไปยังศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 1 จังหวัดปทุมธานี เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 17 ม.ค. เพื่อเข้าเครื่องจับเท็จในวันที่ 18 ม.ค.64 ซึ่งพยานกลุ่มนี้ ถือเป็นพยานสำคัญในคดี ที่อยู่ในเหตุการณ์วันที่ 11 พ.ค. 63 ที่ผ่านมา หลังจากที่น้องชมพู่หายตัวไป
พระอาจารย์บุญมา ซึ่งเป็นพยานที่เคยให้การกับตำรวจ กล่าวยืนยันว่า ช่วงสายของวันที่ 11 พ.ค.63 ที่ผ่านมา อาตมาได้เจอกับลุงพลบนวัดถ้ำภูผาเเอก ขณะที่ลุงพลขึ้นมารับพระครูบารัตน์ ตอนนั้นได้ยินลุงพลพูดว่า ” เกือบไม่ได้ไปส่งพระเพราะหลานหาย ” โดยพระอาจารย์บุญมา ยังยืนยันในคำให้การเดิมที่เคยให้กับตำรวจไว้ เเละไม่ได้รู้สึกกังวลที่จะต้องไปเข้าเครื่องจับเท็จ
ขณะที่พ่อเเบม พยานที่เคยให้การกับตำรวจว่า พบลุงพลที่สวนยางใกล้บ้าน เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น. ของวันที่ 11 พ.ค.63 โดยพ่อเเบม บอกว่า ก่อนหน้านี้เคยให้การกับตำรวจไปเเล้วกว่า 10 ครั้ง ซึ่งช่วงเเรกอาจจะยังไม่มีความชัดเจนเท่าที่ควร เเต่ระบุว่าการเข้าเครื่องจับเท็จในครั้งนี้ ก็จะให้ข้อมูลเดียวกันกับที่เคยให้ตำรวจไว้ครั้งสุดท้าย เเละไม่ได้รู้สึกกังวล
ด้านนางส้มโอ พยานที่เคยระบุว่า พบลุงพลช่วงบ่าย เวลาประมาณ 15.00 -16.00 น. ของวันที่ 11 พ.ค.63 ในขณะที่กำลังตามหาน้องชมพู่ ที่บริเวณตีนภูเหล็กไฟฝั่งตะวันออก ข้าง ๆ ห้วยบุ่ง ซึ่งในวันดังกล่าวลุงพลใส่เสื้อภูไท ทั้งนี้ตนจึงได้กล่าวทักทายลุงพล ก่อนจะเดินเเยกกันไปอีกทาง ซึ่งตนยังยืนยันในคำให้การเดิม เพราะสิ่งที่พูดคือความจริง เเละไม่ได้รู้สึกกังวลเช่นกัน
ทั้งนี้ตำรวจยังได้ไปนิมนต์พระครูบารัตน์ พระที่ลุงพลไปส่งในวันที่น้องชมพู่หาย เพื่อนำไปเข้าเครื่องจับเท็จด้วย อย่างไรก็ตามจากการตั้งข้อสังเกต กลุ่มพยานที่ตำรวจจะนำตัวเข้าเครื่องจับเท็จในครั้งนี้ เป็นกลุ่มพยานที่เคยให้ข้อมูลเชื่อมโยงถึงลุงพล อีกทั้งบางส่วนในจำนวนนี้ยังเคยถูกลุงพลต่อว่า ในลักษณะให้ข้อมูลไม่เป็นความจริง เเต่ทั้งหมดก็ยังยืนยันในคำให้การเดิมมาโดยตลอด
นางดอน มะลิรส พยานที่เห็นลุงพลบนวัดภูผาเเอก ในวันที่ 11 พ.ค.63 แต่จำเวลาที่เห็นลุงพล แบบแน่ชัดไม่ได้ ขณะที่ ด.ช.ก๊วยเจ๋ง ลูกชายน้าเสริม เป็นพยานที่อยู่ไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุ สำหรับการเข้าเครื่องจับเท็จ วันที่ 5 ม.ค.64 มีน้องสะดิ้ง นายอนามัย และนางสาวิตรี ส่วนน้าเสริมกับน้าต่าย เข้าเครื่องวันที่ 6 ม.ค.64 น้าเเตกับน้าฝน เข้าเครื่องวันที่ 7 ม.ค.64 แต่ละคนใช้เวลาสอบปากคำประมาณ 3 ชั่วโมง ส่วนน้องสะดิ้งไม่ได้เข้าเครื่องจับเท็จ เเต่พูดคุยกับสหวิชาชีพเเทน
กระทั่งวันที่ 8 ม.ค.64 เป็นรอบของนางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น และนายไชย์พล วิภา โดยป้าแต๋นถูกสอบด้วยเครื่องจับเท็จเป็นเวลา 4 ชม. ส่วนลุงพล ถูกสอบด้วยเครื่องจับเท็จเป็นเวลา 5 ชม
ส่วนนาย ธนา วาริยศ สรรพากรพื้นที่มุกดาหาร กล่าวว่า กรณีของนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล จะมีข้อมูลที่ทางสรรพากรมีอยู่แล้ว จากที่มีข่าวมาทางลุงพลก็รู้หน้าที่ที่เขาอยู่แล้ว เพราะเขาเคยให้สัมภาษณ์ออกทาง ทีวี เขารู้ว่าเขามีรายได้เขาต้องยื่นเสียภาษี ซึ่งช่วงนี้เป็นฤดูกาลยื่นแบบเสียภาษี ถ้ายื่นธรรมดาต้องยื่นภายใน 31 มีนาคม ถ้ายื่นทาง Internet จะยื่นภายในวันที่ 8 เมษายน
นาย ธนา วาริยศ กล่าวต่ออีกว่า ส่วนยูทูบเบอร์ ที่ตามลุงพล เขาก็รายได้ที่ต้องเสียภาษีเหมือนกัน ส่วนที่เขาจะเสียภาษีเท่าไหร่อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับรายได้ของเขา เมื่อคำนวณแล้วถึงเกณฑ์เสียภาษีจะต้องได้เสียภาษ๊ไหม ซึ่งจะมีกำหนดของเขาอยู่ว่า มีรายได้เท่าไหร่ จะต้องมีหน้าที่ยื่นเสียภาษี อาจะคำนวณแล้วไม่ต้องเสียภาษีก็ได้ ส่วนเงินที่ชาวบ้านบริจาคมา ตัวนั้นก็ต้องไปดูข้อเท็จจริงก่อน ซึ่งยังไม่ทราบข้อเท็จจริง ต้องดูรายละเอียดก่อน เรื่องรายได้เราตอบไม่ได้เป็นเรื่องส่วนตัว ซึ่งมีกฎหมายคุ้มครองเขาอยู่จะเปิดเผยข้อมูลไม่ได้
สำหรับคนที่มีรายได้ ไม่เสียภาษี มีความผิดในเรื่องไม่ยื่นแบบเสียภาษี มีโทษปรับทั้งทางอาญา และทางแพ่ง
อนุศักดิ์ – เสาวภา แสนวิเศษ // มุกดาหาร