นายแพทย์ชาญชัย จันทร์วรชัยกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลร้อยเอ็ด กล่าวว่า โรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) เป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดอาการอักเสบที่เยื่อบุส่วนล่างของทางเดินหายใจ ส่งผลให้เกิดภาวะปอดอักเสบ และระบบทางเดินหายใจล้มเหลว ไวรัส RSV จะมีชีวิตอยู่ภายนอกร่างกายได้หลายชั่วโมง โดยอาศัยอยู่ตามวัตถุต่างๆ ติดต่อได้ง่ายจากการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ เช่น น้ำมูก น้ำลาย เข้าสู่ร่างกายผ่านทางตา หู จมูก ปาก หรือสัมผัสเชื้อโดยตรงจากการจับมือ เด็กเล็กสามารถรับเชื้อไวรัสได้ตั้งแต่แรกเกิด อาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ปวดศีรษะ หลังรับเชื้อ 2-6 วัน หากติดเชื้อในระบบหายใจส่วนล่าง จะทำลายเยื่อบุทางเดินหายใจ ทำให้เกิดภาวะปอดอักเสบ จากนั้นจะมีอาการไอหอบรุนแรง ระบบทางเดินหายใจล้มเหลว อาการรุนแรงอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลร้อยเอ็ด กล่าวเพิ่มเติมว่า อาการคล้ายไข้หวัด แต่ผู้ปกครองควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติที่ต้องรีบพบแพทย์โดยเร็ว คือ เกิดภาวะขาดน้ำ โดยสังเกตจากเวลาลูกร้องไห้ แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา อาการไข้สูงขึ้นๆ ลงๆ และมีน้ำมูกใสๆ ไหลตลอดเวลา เบื่ออาหาร งอแง ซึม ไอมากจนเหนื่อย ไอคล้ายเสียงหมาเห่า จามบ่อย มีเสมหะสีคล้ำเขียว หรือสีเหลือง หายใจเป็นเสียงหวีด หายใจตื้นเร็ว สั้น ดูเหนื่อย หายใจลำบาก ปีกจมูกบานเวลาหายใจ ปลายนิ้ว เล็บ เริ่มเปลี่ยนสีเป็นเขียวคล้ำ ตัวลายเขียวจากการขาดออกซิเจน
การป้องกัน ด้วยล้างมือด้วยน้ำสบู่ทุกครั้งก่อนสัมผัสและก่อนอุ้มเด็ก หากลูกติดเชื้อ RSV รักษาให้หายดีก่อนไปโรงเรียนป้องกันการแพร่เชื้อ หมั่นทำความสะอาดของใช้ ของเล่น แยกแก้วน้ำส่วนตัว หลีกเลี่ยงการจูบและหอมเด็ก เพราะอาจเป็นการแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัว หลีกเลี่ยงสัมผัสเด็กที่สงสัยว่าเป็นหวัดใส่หน้ากากอนามัย ไม่นำบุตรหลานไปโรงพยาบาลและสถานที่ชุมชนแออัด