หนุ่มพนักงานห้างดัง ประสบเหตุผู้ไม่ประสงค์ดีขึงเชือกขวางสะพานขับรถผ่านเป็นรอยบาดสีถลอก ทำคลิปออกมาเตือนสังคม ถูกกล่าวหาว่าทำคอนเทนต์ ลงพื้นที่พิสูจน์จุดเกิดเหตุ ผู้นำหมู่บ้านแจงเกิดเหตุบ่อยครั้ง ต้องการไฟฟ้าส่องสว่าง จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 2 พฤษภาคม 2567 นายบุญมา ต้นกันยา ผู้ใหญ่บ้านคอกคี หมู่ที่ 9 ต.บัวใหญ่ อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น พร้อมชาวบ้าน ได้เข้าทำการตรวจสอบสะพานข้ามห้วยทราย บนถนนสายน้ำพอง-พระธาตุขามแก่น ซึ่งเป็นทางเส้นอยู่ในความรับผิดชอบของกรมทางหลวงชนบท ซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุที่ มีผู้ใช้เฟสบุ๊กและ ติ๊กต๊อก ชื่อ “นายธนวรรธน์ สนั่นพิทักษ์” โพสต์เตือนภัย ผู้ที่สัญจรบนถนนเส้นนี้ยามค่ำคืน ว่า “ระวังกันด้วยนะครับ ไม่คิดว่าจะเจอกับตัวเอง #เตือนภัย #บ้านคอกคี #อำเภอน้ำพอง #จังหวัดขอนแก่น1/5/67 เวลา 01:40 น.” พร้อมกับมีคลิปบรรยายถึงเหตุการณ์ที่ประสบเหตุ
ตรวจสอบพบว่า บริเวณโดยรอบไม่มีร้องรอยของการเฉี่ยวชน หรือการขึงลวด (เชือก) แต่อย่างใด จึงได้สอบถามผู้ใหญ่บ้านเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้ใหญ่บ้านคอกคี กล่าวว่า “ทราบข่าวจากการโพสต์เตือนภัยในวันที่ 1 พ.ค. ว่ามีคนมาขึงลวดบนสะพานที่ท้ายหมู่บ้าน ไม่ทราบวัตถุประสงค์ดี หรือประสงค์ร้าย หรือคิดปองร้ายใคร จากการที่ผู้ประสบเหตุออกมาเตือนภัย ถ้าหากว่าเป็นความจริงจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผู้ขับขี่มอเตอร์ไซด์อาจจะบาดเจ็บ หรือคอขาดเสียชีวิตเป็นได้ สำหรับตรงนี้เคยมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อย แต่ไม่ใช่ลักษณะของการขึงลวด หรือเชือก เพราะตรงบริเวณนี้ตกตอนค่ำจะมีคนร้ายปาหินใส่ผู้สัญจรไปมาบนถนน หวังให้รถเสียหลักล้ม เพื่อหวังเอาทรัพย์สิน แต่ก็ไม่มีใครเป็นอะไร เพราะสวมหมวกกันน๊อค แต่จะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
ผญบ.หมู่ 9 บ้านคอกคี กล่าวอีกว่า ชาวบ้านต้องการไฟฟ้าส่องสว่าง เพราะเป็นสะพาน และเป็นทางโค้งตกตอนค่ำมาไม่มีแสงสว่างมืดมาก กลางคืนก็เปลี่ยว ช่วงดึก ๆ มีความเป็นห่วงสำหรับผู้ที่สัญจรไปมา เกรงได้รับอันตราย
นายธนวรรธน์ สนั่นพิทักษ์ (พนักงานห้างดังแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น) ผู้ที่ประสบเหตุและนำคลิปลงสังคมโซเชียลเฟสบุ๊ค และติ๊กต๊อก เพื่อเตือนผู้สัญจรไปมาบนถนนสายน้ำพอง – พระธาตุขามแก่นว่า “เหตุเกิดเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 เวลาประมาณ 01.40 น. กลับมาจากไปกินหมูกระทะเดินทางกลับบ้านซึ่งเป็นเส้นทางที่ใช้ประจำ ถึงจุดเกิดเหตุไม่ทราบว่าเป็นเชือก หรือเป็นอะไรขวางอยู่ที่หน้าตรงสะพาน กับผ่านไปวัสดุดังกล่าวโดนเข้าไปที่รถ ตอนที่เชือกโดนเข้าที่รถยนต์ด้านหน้า เราไม่ได้จอดดูเพราะกลัวจะเป็นพวกวัยรุ่น หรือคนร้ายมาขึงเชือกไว้หรือเปล่า กลัวว่าจะมีการโจรกรรม เราเลยไม่ได้จอดดูจึงรีบขับรถเข้าบ้านเลย ซึ่งบ้านแผนอยู่ที่บ้านบัวใหญ่ พอรุ่งเช้าประมาณ 07.00 น.จึงได้มาดูรถว่ามีรอยตรงไหนบ้าง จากการตรวจสอบอย่างละเอียดก็พบว่ามีรอยที่หูกระจกซ้าย เป็นรอครูดจนสีถลอก แลระรอยตามประตูข้างผู้โดยสารฝั่งซ้ายทั้ง 2 บาน จึงได้ขับรถกลับที่ตรงสะพานว่าจะมีร่องรอยในการผูกเชือกติดกับราวสะพานหรือไม่ ซึ่งไม่มีร่องรอยให้เห็นแล้ว”
ต่อคำถามที่ว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นการทำ คอนเทนต์หรือไม่ นายธนวรรธน์ ตอบว่า “ถ้าหากว่าเป็นการทำคอนเทนต์ นั้นขอเรียนตามตรงว่า รถยนต์ของใคร ใครก็รักเราไม่ได้ซื้อมาบาทสองบาท คันนึงก็หลายแสนบาท ถ้าหากว่าเราจะเอารถเราไปทำคอนเทนต์ จะเอารถเราไปทำอะไรให้เป็นรอยขนาดนี้ ถ้าสมมติว่า ทำคอนเทนต์มา กระจกหัก รถผมไม่ประกันนะครับ เพราะประกันหมดแล้ว เราก็ต้องจ่ายเอง ซึ่งก็ต้องเป็นเงินหลายบาท บอกตรง ๆ ผมไม่ได้ทำคอนเทนต์แน่นอน เพราะทรัพย์สินมีค่าอยู่แล้ว
ทำไม่เข้าแจ้งความหลังเกิดเหตุ “หลังจากที่เข้าไปดูที่เกิดเหตุตอนเช้าในวันที่ 1 ผมได้มาทำงานเลย เพราะผมเข้างานตอน 11 โมง เพราะต้องตื่นแต่เช้าไปช่วยเพื่อนจัดร้าน กว่าจะมาถึงที่ทำงานระยะทางก็ร่วม 30 กิโลเมตร จึงไม่ได้ไปแจ้งความที่ไหนเลย”
ธนวรรธน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ถนนเส้นทางนี้เทียวเดินทางไปทำงานและรับแฟนกลับบ้านเป็นประจำในช่วงค่ำคืนและกลางดึก อยากฝากถึงผู้ที่เกี่ยวข้องว่า ตรงจุดเกิดเหตุน่าจะมีไฟฟ้าส่องสว่าง และตัดต้นไม่ที่ขึ้นรกทึบสองข้างทางจะช่วยไม่ให้เกิดเหตุนี้ในวันข้างหน้า”.