ป.ป.ช.หนองบัวลำภู เดินหน้า ”คนไทยไม่ทนต่อการทุจริต” ZERO TOLERANCE ขณะที่เทศบาลตำบลบ้านค้อ อำเภอโนนสัง รับรางวัลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ปี 66 ระดับดีเยี่ยม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุมสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดหนองบัวลำภูภายในศูนย์ราชการจังหวัดหนองบัวลำภู นายศศิน พัฒนภิรมย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู เป็นประธานพิธีเปิดกิจกรรม ZERO TOLERANCE คนไทยไม่ทนต่อการทุจริต เนื่องในงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากลประเทศไทย จังหวัดหนองบัวลำภู โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชนภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน เข้าร่วมกิจกรรม พร้อมรับชมการถ่ายทอดสดจากส่วนกลาง เนื่องในงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากลประเทศไทย จังหวัดหนองบัวลำภู
โดยนายศศินฯรอง ผวจ.หนองบัวลำภูได้นำผู้เข้าร่วมกิจกรรม ประกาศเจตนารมณ์ ในการจะประพฤติปฏิบัติตนด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่กระทำการทุจริต จะยึดมั่นในความยุติธรรม ยึดถือประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน จักปกป้องเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ และเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ มอบเกียรติบัตรเชิดชูเกียรติองค์กรที่ผ่านการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ปี 66 ระดับดีเยี่ยม 3 ลำดับๆ 1 ได้แก่เทศบาลตำบลบ้านค้อ อำเภอโนนสัง อันดับ 2 อบต.ดงสวรรค์ อำเภอนากลาง และ อบต.หัวนา อำเภอเมืองหนองบัวลำภู ด้วย
นางสาวโกสุมา ดอนวิรัตน์ หัวหน้ากลุ่มงานป้องกันการทุจริต สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดหนองบัวลำภู ผู้แทน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดหนองบัวลำภู กล่าวว่าองค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้วันที่ 9 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันสำคัญเพื่อให้ประชาคมโลกได้ตระหนักถึงภัยร้ายแรงอันเกิดจากการคอร์รัปชัน และเพื่อประกาศเจตนารณ์ร่วมกันในการรณรงค์ต่อต้านคอร์รัปชันอย่างจริงจัง
สำหรับประเทศไทย ในฐานะประเทศสมาชิกขององค์การสหประชาชาติรัฐบาล ร่วมกับ สำนักงาน ป.ป.ช. องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และ ภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคม ได้ร่วมมือกันจัดงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากลขึ้น เพื่อเป็นการแสดงจุดยืนร่วมกันของสังคมไทยทุกภาคส่วนที่ไม่ทนต่อการทุจริตได้อีกต่อไป
ปัญหาคอร์รัปชันของประเทศไทย เป็นปัญหาที่สั่งสมมานาน และถือเป็นศัตรูร้าย ที่ส่งผลเสียหายต่อประเทศ ทั้งในทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และการศึกษาในภาพรวมของประเทศ ที่ผ่านมาสังคมไทยได้เกิดวัฒนธรรมที่ยอมรับการทุจริต การซื้อขายตำแหน่ง การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างการที่ให้สิทธิประโยชน์รวมทั้ง การใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายในการเอื้อประโยชน์ต่อกัน ตลอดจนไม่สามารถแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนรวมและประโยชน์ส่วนตนได้อย่างชัดเจน
จะอย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้มีการปรับปรุง และจัดให้มีกฎหมายเพื่อให้ครอบคลุมถึงการป้องกันการทุจริต การปราบปรามการทุจริต ตลอดจนการประพฤติมิชอบในระบบราชการ รวมถึงการมีผลประโยชน์ทับซ้อนในภาครัฐทุกระดับ โดยถือว่า เป็นวาระสำคัญเร่งด่วนแห่งชาติ และเป็นเรื่องที่ต้องอยู่ในการปฏิรูปประเทศทุกด้าน ทั้งจะเร่งรัดการดำเนินการต่อผู้กระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบ ทั้งในด้านวินัยและด้านคดี
ขณะนี้ ภาครัฐได้เริ่มต้นพัฒนาหน่วยงานตามยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลได้วางไว้โดยการสร้างความโปร่งใสในการดำเนินงาน โดยเฉพาะการบริการที่มีผลกระทบต่อสิทธิและความเป็นอยู่ของประชาชน ตลอดจนการประกอบกิจการของภาคธุรกิจ เมื่อภายในหน่วยงานราชการมีความโปร่งใสแล้ว ก้าวต่อไปจะเน้นไปที่ภายนอกหน่วยงหมายความว่า เราจะเน้นการมีส่วนร่วมของภาคสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะการให้ประชาชนและภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบ เฝ้าระวังการดำเนินงานของภาคราชการเพื่อให้ผลลัพธ์ของการดำเนินงานตกแก่ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นประชาชน ท้องถิ่น จังหวัดหรือในภาพรวมระดับประเทศ
สุภัชรกานต์ แก้วสิงห์ ขตว.หนองบัวลำภู